เชื่อไหมว่าในปัจจุบัน การหาดูงานสำหรับการเรียนสถาปัตย์มีโอกาสหาได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์โชว์งานพอร์ตฟอลิโอสถาปัตย์และแขนงอื่นๆหลายแขนง อย่างเช่น www.issuu.com หรือ เว็บไซต์ที่โชว์ผลงานสถาปัตยกรรมและภาพวาดดีๆอย่าง www.pinterest.com แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่า ถ้าเราเรียนสถาปัตย์ 5 ปีจบแล้ว เราจะได้ความรู้อะไรบ้าง เรามาวิเคราะห์กันจากพอร์ตสถาปัตย์หลังเรียนจบของพวกพี่ๆได้เลย
การเรียนสถาปัตย์จบมาเราไม่ได้แค่การเรียนสถาปัตย์เท่านั้น สิ่งที่เราได้เป็นหลักเลยก็คือความชำนาญเรื่องของพื้นฐานศิลปะและการออกแบบนั่นเอง และเราจะได้นำความรู้ตรงนี้ไปพลิกแพลงใช้ในการจัดหน้ากระดาษและรูปเล่มงานพอร์ตสถาปัตย์นั่นเอง และไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ การจัดหน้ากระดาษก็เหมือนกับการเว้นวรรคและเว้นย่อหน้าบทความ หากเราเว้นระยะห่างของเนื้อหาแต่ละเรื่องอย่างดี การทำความเข้าใจงานสถาปัตย์ของเราจะเกิดได้ง่ายนั่นเอง และหากเราโชว์การจัดหน้าพอร์ตสถาปัตย์ได้ดี งานสถาปัตย์เราก็ดูดีไปกว่าครึ่งแล้ว ทั้งนี้เรายังได้ทำความคุ้นเคยกับการใช้ฟอนต์ด้วย เรียกว่าเรียนสถาปัตย์จบ เราจะมีคลังฟอนต์สวยไว้ใช้งานเพียบ แต่อยากเพิ่งคิดว่าเราจะเรียนไปแล้วไปทำงานกราฟิกนะ การเรียนสถาปัตย์ไม่ได้สอนไปถึงทฤษฎีเชิงลึกด้าน graphic ฉะนั้น เราต้องเรียนรู้อีกเยอะนะ ก่อนย้ายสาย แต่ถ้าจัดการงานจัดหน้ากระดาษเบื้องต้น เราทำได้สบายเลย
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนสถาปัตย์และการออกแบบ เพราะว่าระบบความคิดแบบการวิเคราะห์หรือที่เรียกว่า CRITICAL THINKING โดยระบบความคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ โดยทั่วไปแล้วหลายๆคนอาจจะดว่า ถ้าเราแค่ขึ้นสถาปัตยกรรมให้รูปทรงสวยๆก็ถือเป็นงานที่ดีแล้ว ในความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่เลย ถ้าถามกลับไปว่าสวยของเราคืออะไรก็เชื่อว่าไม่มีใคาตอบได้อย่างชัดเจน ฉะนั้น การใช้ CRITICAL THINKING คือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ทำไม’ ทำไมต้องรูปทรงนี้ มันต้องตอบโจทย์อะไร ความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้การเรียนสถาปัตย์เรามีความหมายและได้ผลลัพธ์ที่ดีและต่างออกไปจากอดีต มากไปกว่านั้นในบางวิชาเลือก เราอาจได้เรียนด้าน CRITICAL THINKING ล้วนๆเลยก็มี โดยเราจะลดความเป็นสถาปัตยกรรมลงไป อาจจะเลือกให้ความสำคัญกับโครงสร้างเพียงอย่างเดียว และให้เราเริ่มทดลองหาโครงสร้างใหม่จากระบบการสร้าง 3 มิติอื่นๆที่ไม่ใช้สถาปัตยกรรม เช่น origami งานจักรสาน และอื่นๆ และสุดท้ายเราจะเอาการสร้างโครงสร้างนั้นมาปรับให้สามารถขยายเป็นสเกลสถาปัตยกรรมและหาทุกความเป็นไปได้ในการควบคุมบังคับรูปทรงและการรับแรงของชิ้นงาน ถือเป็นวิชาเรียนสถาปัตย์ที่สนุกและลงลึกด้านความคิดมากที่สุด 1 วิชาเลย และที่สุดสำคัญเราจะได้นำแสดงการวิเคราะห์ที่แยบยลใส่ลงในพอร์ตฟอลิโอตอนสมัครงานด้วย
ในเรื่องนี้เป็นพื้นฐานที่ต้องเรียน แต่ไม่ใช่แค่พื้นฐานแน่นอน ในช่วงเวลาที่เราเรียนสถาปัตย์ 4-5 ปี เราจะได้เรียนสถาปัตยกรรมหลากหลายประเภทการใช้งาน และ ในแต่ละการใช้งานสถาปัตยกรรมจะมีระบบการออกแบบที่ต่างกันมากมาย และเราจะได้เรียนรู้ว่าเราชอบออกแบบสถาปัตย์แบบไหนมากที่สุด เพื่อสมัครที่ทำงานที่ตรงสายการออกแบบของเรา ฉะนั้นในพอร์ตของแต่ละคนจะแสดงสถาปัตยกรรมที่เราชอบเราสนใจ โดยเราจะได้แสดงบทวิเคราะห์ของเราที่จะทำให้สถาปัตยกรรมมีความแตกต่างและตอบโจทย์โลกในปัจจุบัน พร้อมเสนอการจัดรระเบียบ โครงสร้าง ผนังที่ปิดล้อม การใช้งาน และ ทางสัญจร ที่เราได้ออกแบบเอง เพื่อสร้างความรู้สึกแลัความเหมาะสมกับการใช้งานสถาปัตยกรรมได้ดีที่สุดตามความคิดของเรา
เรื่องสุดท้ายคือการเรียนรู้ตัวเอง เวลาการทำพอร์ตฟอลิโอจนเสร็จ ความเป็นตัวตนจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน พอร์ตฟอลิโอเป็นเหมือนการแสดงประวัติศาสตร์ของตัวผู้ทำเอง โดยเป็นการรวบรวมงานตั้งแต่ ปี1-ปี5 สิ่งที่แสดงออกมาคือการเจียระไนตัวเอง และ ความชัดเจนในสิ่งที่ชอบ เช่น ในตัวอย่าง จะเห็นนว่าเจ้าของพอร์ตพยายามจะแสดงกระบวนการคิดของทุกๆงาน แสดงว่าเค้ากำลังแสดงระบบความคิดของตัวเองที่ใช้ในการวิเคราะห์งานออกแบบ รวมถึงการแสดงรูปแบบของอาคารที่ตัวเองออกแบบและตัดสินนใจ บางทีการรออกแบบอาคารจะแสดงตัวตนได้ชัดเจน คือเรื่องของการจัดการทำหน้าตาอาคาร การจัดขนาดความสูง สิ่งพวกนี้จะสะท้อนออกมาในพอร์ตฟอลิโอ เมื่อนำงานมารวมกันใน 1 เล่มนั่นเอง สิ่งที่สำคัญของหัวข้อนี้คือ เวลาสมัครงาน ผู้สัมภาษณ์จะเห็นคุณภาพของงานรวมถึงสไตล์การออกแบบว่าเข้ากับออฟฟิศได้ไหม หรือสามารถจัดการกับสถาปัตยกรรมประเภทไหนได้ดีเป็นพิเศษ นี่แหละคือสิ่งที่ซ่อนอยู่และในเวลาเดียวกันสะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ทำได้มากที่สุด
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ น้องๆได้เห็นตัวอย่างพอร์ตฟอลิโอการออกแบบกันแล้ว อย่าเพิ่งกลัวไปนะครับว่างานดูหนัก ทำเยอะ มันเป็นการรวมงาน 5 ปี นั่นเอง อยากให้ทุกคนได้ลองเต็มที่กับโปรเจกต์ของตัวเองที่กำลังทำอยู่นะครับ สู้ๆครับ