พูดคุยกับพี่จ๊อบ time machine studio ตอนที่ 1

ทำไมถึงอยากเข้าสถาปัตย์?
พูดคุยกับพี่จ๊อบ time machine studio ตอนที่ 1

    จากที่พี่จ๊อบได้จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเมื่อประมาณ 4 ปีที่เเล้ว พี่ๆทาง time machine studio จึงอยากนำบทสัมภาษณ์กับทางพี่จ๊อบ หนึ่งในพี่ผู้ให้คำปรึกษาในการทำ portfolio ของน้องๆภาคไทยมาพูดคุยและเเชร์ประสบการณ์กับน้องๆที่มีความไฝ่ฝันอยากเข้าสถาปัตย์กันเล็กน้อย เพื่อหวังเป็นประโยชน์และเพิ่มมุมมองใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทางด้านสถาปัตย์แก่น้องๆ
ทำไมถึงอยากเรียนสถาปัตย์ ?

    คำถามนี้ถือเป็นคำถามยอดฮิตเลย สำหรับทุกคนที่เข้ามาเรียนสถาปัตย์ เพราะมักจะโดนถามจากเพื่อนๆอยู่บ่อยครั้ง จริงๆแรกเริ่มต้องของเกริ่นไปยาวๆก่อนเลยครับ ว่าสมัยเด็กๆเนี่ยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นสถาปนิก หรือ อยากสอบเข้าเรียนคณะสถาปัตย์ เพราะตอนเด็กๆสิ่งที่ชอบคือชอบวาดรูป ชอบวาดรูปมาตั้งเเต่เล็กเลยครับ จึงมีความฝันง่ายๆว่าอยากเป็นอาชีพอะไรก็ได้ที่ได้อยู่กับการวาดรูป เขียนภาพ ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็นึกออกเเค่อย่างเดียวคือ อยากเป็นจิตรกรนะ อยากที่จะได้วาดภาพแบบจริงจังเลยได้ฝึกเรื่องการวาดรูป การลงสี ดรออิ้งต่างๆมาตั้งเเต่ ป.2 จน ม.ปลายเลย เเต่จุดเปลี่ยนในชีวิตน่าเป็นตอนช่วงประมาณ ม.5 คือช่วงนั้นก็อยู่ในช่วงที่เริ่มคิดเรื่องการเข้ามหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง และตอนนั้นตัวเลือกในหัวก็ยังคงมีเพียงตัวเลือกเดียวคือคณะจิตรกรรม ช่วงนั้นจำได้ว่ามีโอกาสได้ฝึกมือเขียนสีอะคริลิคอยู่บ่อยๆนะครับ ชอบเขียนภาพวิวทิวน์ทัศน์ต่างๆเพราะรู้สึกสนุกและมีอะไรหลายอย่างให้วาดในภาพหนึ่งภาพ ในตอนนั้นเนี่ยสิ่งหนึ่งที่เริ่มรู้สึกขึ้นมาในใจเล็กๆคือรู้สึกเริ่มเบื่อ ที่เราเหมือนฝึกเขียนภาพตามภาพถ่ายให้เหมือนจริงต่างๆไปเรื่อยๆจนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริงๆเเล้วเราชอบเรียนอะไรกันเเน่ ซึ่งในช่วงนั้นก็พอดีได้ติวเรื่องการเขียนภาพอยู่กับอาจารย์ที่สนิทซึ่งจบจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลับศิลปากรครับ โดยอาจารย์ก็แนะนำให้ลองไปดูเรื่องสถาปัตย์ เผื่อจะชอบเเละเหมาะกว่าเพราะอาจารย์เห็นว่าเรียนสายวิทย์มาและน่าจะทำออกมาได้ดีครับ ตอนนั้นก็ยังรู้สึกว่าสถาปนิกไม่น่าใช่ทางของเราเท่าไรนัก จนตอนนั้นมีโอกาสได้ไป workshop เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมกับทางบริษัท scg เเละได้ลองทำ sketch design งานออกแบบสั้นๆ ได้นำเสนองานต่อหน้ากรรมการสั้นๆแล้วรู้สึกถึงความสนุกบางอย่างที่น่าสนใจครับ เเต่ตอนนั้นกลับบ้านมาก็ยังไม่ได้คิดถึงขั้นจริงจังอะไร เนื่องจากเป้าหมายเรื่องการเขียนภาพเป็นสิ่งที่เราชัดเจนมานานมากหลายปี จนเมื่อช่วงปลาย ม.5 ที่บ้านคุณพ่อพาไปเที่ยวงาน World Expo 2010 ที่จัดขึ้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ตอนนั้นเเทบไม่ค่อยรู้ครับว่างานนี้คืองานอะไร เเต่ไปเพราะคุณพ่อทำทัวร์และอยากให้ไปช่วยงานเท่านั้น พอไปถึงงานก็ได้เห็นสถาปัตยกรรมแปลกๆมากมาย เเละได้เข้าชม pavilion ไปทั้งหมด 3 หลัง เริ่มที่ของอเมริกา ต่อด้วยไทย และจบที่ออสเตรเลียครับ วันนั้นระหว่างกลับที่พักคือก็คิดอยู่ตลอดที่เดินทางเลยว่าถ้าเป็นเรานะ เราอยากทำแบบนี้ อยากให้มีอะไรบ้างใน pavilion หน้าตาถ้าเป็นเราจะนำเสนอความเป็นไทยยังไงได้อีกไหม จนรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่ไป workshop เลย สุดท้ายกลับมาจึงเปิดใจเริ่มติวสอบเข้าสถาปัตย์ในช่วงต้น ม.6 เลยครับซึ่งถือว่าช้ามากๆถ้าเทียบกับเพื่อนๆที่รู้ตัวเเละติวกันมาสองปีกว่าเเล้ว

แล้วเตรียมตัวสอบเข้าอย่างไรให้ทัน ?

    ตอนนั้นบอกเลยว่ารู้สึกอะไรๆก็ใหม่ไปหมด สมัยนั้นการจะสอบเข้าสถาปัตย์มีเเค่การสอบตรงและการสอบ PAT4 ไปยื่นคะแนนเท่านั้น ไม่เหมือนกับปัจจุบันที่มีการยื่น portfolio ดังนั้นตอนนั้นก็ไปลุยเรียนฝึกการวาดรูปแบบสถาปัตย์ครับ และสิ่งที่ได้ลองทำคือใหม่หมดเลยไม่ว่าจะเป็นการขีดเส้น การเเรเงาที่เปลี่ยนจากการวาดแบบเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องวาดเหมือนจริงเเสงเงายอดเยี่ยมแบบเดิม แต่เส้นต้องมีน้ำหนัก ดูมั่นใจมันคือการทำของตรงกันข้ามกันเลยก็ว่าได้ แต่สนุก รู้สึกเหมือนเรียนสิ่งใหม่ ตอนนั้นก็ใช้วิธีฝึกฝนให้มากกว่าปกติเอาครับ สมมติพี่ติวบอกให้ทำ 3 แผ่น เราก็จะทำคูณสองเข้าไป จะสั่งมาเท่าไรก็จะเน้นทำคูณสองไปให้เราชินได้เร็วสุดท้ายก็พร้อมสอบทันเพื่อนๆนะครับ

ช่วงชีวิตการสอบเข้ามหาลัยราบรื่นดีไหม ?

    เรื่องนี้จริงๆจะบอกว่าราบรื่นไหม ก็คงจะตอบว่าไม่ค่อยเท่าไรนะ ตอนนั้นเนี่ยพอดีจากที่เราได้คุ้นเคยกับเรื่องศิลปะมานานก็ใฝ่ฝันมากว่าอยากเข้าเรียนสถาปัตย์ที่มหาลัยศิลปากรนี่แหละตอนนั้นเราเอฟซีมากๆ ที่อื่นคือไม่สนเลย แต่พอไปสบตรงของศิลปากรมาก็รู้สึกด้วยความที่อยากได้มากๆนี่แหละทำให้เรากดดันมาก วาดอะไร ทำอะไรก็เกร็งไปหมด สุดท้ายผลคะเเนนออกมาถือว่าไม่โดดเด่นเเละสุดท้ายก็ไม่ติดนะ ตอนนั้นเสียใจเเละจ๋อยมาก 555 เพราะเราหวังไว้มากๆเลย หลังจากที่ไม่ติดศิลปากรก็เหลือเวลาเดือนนึงจะสอบ GAT / PAT เพื่อไปยื่นรับตรงจุฬาฯ เเละมีสมัครสอบตรงของลาดกระบังไปด้วยอีกที่ ตอนนั้นจำได้ว่าให้หัวคือคิดอย่างเดียวเลยว่า ณ จุดนี้นี่เราเอาที่ไหนก็ได้เเล้วขอเเค่จบไปได้เป็นสถาปนิกก็พอ ตอนนั้นก็คิดถึงขั้นถ้าไม่ได้ที่ไหนเลยเราก็จะไปรังสิตเลยนะ สุดท้ายตอนทำ PAT4 ทำแบบในสบายๆไม่กดดัน ผลออกมาก็เกินที่ตั้งเป้าไว้มากเลย ตอนนั้นได้ GAT 270 , PAT1 91 , PAT2 120 และ PAT4 227 ก็ถือว่าดีเเต่ไม่ได้โดดเด่นมากในการลุ้นเข้า สถ. จุฬาฯ แต่สุดท้ายก็เข้าได้สำเร็จด้วยอันดับคะแนนเกือบสุดท้ายเลย ก็ดีใจมากๆเลยครับตอนนั้นไม่คาดคิดว่าเราจะได้เรียนที่สถาปัตย์จุฬาฯ

ความรู้สึกหลังจากได้เข้ามาเรียนที่ สถาปัตย์จุฬาฯ เป็นอย่างไร

    เรื่องนี้มีคนถามเยอะเลย จริงๆตอนช่วงปี 1 โดยเฉพาะในเทอมเเรกรู้สึกเป็นช่วงปรับตัวที่สำคัญมากๆเลยนะ เพราะตอนนั้นเราก็ติวเข้ามาแบบวาดตีฟ วาดPAT4 พอเข้ามาเรียนจริงสิ่งที่เจอมันแทบจะคนละอย่างกันเลย ในคาบการเรียนออกแบบครั้งแรกจำได้แม่นเลยว่าต้องตัดกระดาษสีขาว และดำลงในเอ4ให้สวยตอนนั้นเราไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร ช่วงเเรกๆผลงานก็คือสภาพได้ C ได้ D ปะปนกันสนุกสนานเลยนะ555 จำได้ว่ากลับมาบ้านนี่หน้าจ๋อยทุกวันเลยสมัยนั้น รู้สึกไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับคณะนี้จริงไหม แต่พอหลังๆเริ่มทำงานที่เป็นบ้าน เป็นที่ว่างก็เริ่มปรับตัวได้จนเริ่มทำผลงานออกมาได้ดีเป็นลำดับ และก็รู้สึกว่าการที่ได้มาเรียนที่จุฬาฯนี้เป็นสิ่งที่เราก็ดีใจมากเพราะอาจารย์สอนเน้นเรื่องระบบความคิดมาก การรีเสิร์ชหาข้อมูลอะไรต่างๆ ได้ทำงานออกแบบ ได้เห็นผลงานเพื่อนๆเก่งๆก็เป็นการเรียนรู้ที่สนุกมากๆครับ มีหลายๆช่วง โดยเฉพาะเวลาที่คิดงานไม่ออกในช่วงเวลาที่ไฟลนก้นเนี่ยนะ จะรู้สึกทรมานมากๆเลยแต่พอเราฮึดผ่านมันมาได้ อาจจะอดนอนหน่อยเเต่สุดท้ายผลมันออกมาดีก็รู้สึกดีใจเเละภูมิใจกลับมามากๆเช่นเดียวกัน การเรียนคณะนี้ก็เป็นลูป เหนื่อย ยิ้ม เหนื่อย ยิ้ม วนไปจนจนจบทีสิสเลยนะ 555

อยากฝากอะไรถึงน้องๆที่อยากจะเข้าสถาปัตย์รุ่นใหม่บ้าง

    อยากให้ถามตัวเองให้ดีนะว่าชอบเเละอยากเรียนคณะนี้จริงๆไหม ชอบออกแบบจริงๆไหม ถ้ามั่นใจเเล้วว่าที่อยากเข้าเพราะชอบออกเเบบสถาปัตยกรรม ก็อยากให้ลุยทำพอร์ต ทำผลงานต่างๆอย่างเต็มที่ มีแพชชันกับมันให้มากๆ งานในวิชาชีพนี้เรื่องแรงผลักดันภายในสำคัญมาก ถ้าเราไม่มีใจให้มันมันจะทรมานมากเลย เรื่องเก่งไม่เก่งคนละเรื่องกันนะ แต่สำคัญว่าเราอยากทำมันแค่ไหน ถ้าเราทำมันด้วยความสนใจและตั้งใจยังไงผลลัพธ์ที่ออกมาต้องดีแน่นอน
    อีกเรื่องที่อยากฝากถึงน้องๆคืออยากให้ทำอะไรอย่าไปแข่งกับใคร ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ต้องได้คะแนนเต็ม อยากให้ทำเต็มที่ในส่วนของเราก็พอ เต็มที่เเล้วถ้าผลออกมาอย่างไรเราก็จะภูมิใจกับผลลัพธ์อย่างแน่นอน การเป็นสถาปนิกที่ดีอีกสิ่งสำคัญคือความเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง แต่ขอยํ้าว่าไม่เหมือนกับการมั่นใจในตัวเองมากเกินไปนะ คือเชื่อมั่นในตัวเองนี่ดี แต่ถ้าอีโก้ อันนี้คิดว่าไม่น่ารัก ปัจจุบันเห็นมีน้องๆหลายคนเนื่องจากได้ติวทำพอร์ตกันมาจากมากมายหลายที่ ได้รู้เรื่องการออกแบบหรือเรื่องต่างๆทางสถาปัตยกรรมจากพี่ติวเร็วกว่ารุ่นเราเองมากๆ บางคนพอเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยกลับนึกว่าตนเองเก่งเเล้ว เจ๋งเเล้ว ไม่เข้าเรียนบางคลาส เรียนบางคลาสเพราะไปฟังรุ่นพี่มาว่าคลาสนี้น่าเรียน คลาสนั้นไม่น่าเรียน เรื่องนี้อยากบอกในฐานะรุ่นพี่เช่นกันว่าไม่ค่อยน่ารักเท่าไร เหมือนเป็นการเสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆในช่วงเริ่มต้นของคณะนี้ไปเลย จึงอยากฝากให้ต่อให้เราจะรู้อะไรมาก่อนหน้าเเล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ผมจะพยายามบอกน้องๆที่มีโอกาสได้แนะนำงานออกแบบอยู่เสมอเลยคือ เราต้องเปิดรับฟังข้อมูลใหม่ๆเสมอ ต้องไม่ตั้งเเง่ และที่สำคัญคือต้องเป็นนักออกแบบที่น่ารัก และผมเชื่อว่าน้องๆจะได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะเลยนะ

สุดท้ายนี้ หากย้อนเวลากลับไปได้อยากไปแก้อะไรไหม

    จริงๆต้องเล่าสั้นๆสุดท้ายว่า จริงๆชีวิตเรานี่ถึงเราจะจบจากคณะสถาปัตย์ด้วยเกียร์ตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง แต่จริงๆช่วงชีวิตก่อนหน้านั้นทั้งหมดหรือเเม้กระทั้งตอนนี้ที่เป็นวัยทำงานเเล้ว ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเท่าไรเลย เรามักคุ้นชินกับการผิดหวังนะ การเป็นตัวรอง เป็นที่สองที่สาม ประกวดแบบสมัยเด็กๆได้รางวัลมากสุดก็ที่สอง สมัยฝึกฝนวาดภาพก็ถือว่ามีฝีมืออยู่ท้ายสุดในบรรดาคนมาฝึก สอบตรงก็ไม่ติดไปหมดทุกที่เหมือนคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้วรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เนี่ยแหละที่ทำให้เรารู้สึกเป็นเราในทุกวันนี้ หากถามว่าย้อนเวลาไปจะแก้อะไรไหมก็คงจะบอกว่าไม่ขอแก้อะไรเพราะ ถ้าไม่ได้พบเจอกับความผิดหวังที่สอบไม่ติดในวันนั้น หรือไม่ได้หัดเป็นคนที่ตามหลังคนอื่นเป็น ตอนนี้เราเองจะเป็นยังไงก็ไม่เเน่ใจ ทุกวันนี้อย่างช่วงชีวิตเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังรู้สึกดีใจที่เรื่องราวหลายๆเรื่องผ่านมาแบบไม่ได้ perfect อย่างผลงานวิทยานิพนธ์ เราก็เคยคิดนะว่าอยากทำจบเเล้วตอนนำเสนอให้อาจารย์ฟังอยากทำแบบว้าวๆทิ้งท้ายเลย แต่สุดท้ายก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งนะ เเต่ทุกวันนี้เวลานึกย้อนไปแล้วก็อมยิ้มนะ เเละก็คิดว่าดีเเล้วที่ทุกอย่างมันเป็นไปแบบนั้นครับ

Time Machine Bangkok สถาบันสอนการออกแบบสถาปัตยกรรม
18491750 10158602151930277 5123414473983064338 o - Time Machine Studio

การตั้งค่าคุ้กกี้

เราใช้คุ้กกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์อย่างดีที่สุดให้กับคุณ รวมถึงคุ้กกี้จำเป็นสำหรับดำเนินงานของเว็บไซต์ และเพื่อจัดการวัตถุประสงค์ทางการค้า รวมถึงคุ้กกี้อื่นๆ ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติโดยไม่ระบุตัวตน สำหรับการตั้งค่าเว็บไซต์ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นหรือสำหรับการแสดงเนื้อหาส่วนบุคคล คุณมีอิสระในการตัดสินใจเลือกหมวดหมู่ที่คุณต้องการ โปรดทราบว่าฟังก์ชั่นของเว็บไซต์บางส่วนอาจทำงานไม่เต็มรูปแบบซึ่งขึ้นอยู่กับการตั้งค่าคุ้กกี้ของคุณ คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

  • จำเป็น

    คุ้กกี้เหล่านี้มีความจำเป็นต่อการใช้งานฟังก์ชั่นหลักของเว็บไซต์นี้ เช่น ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุ้กกี้เหล่านี้เราสามารถตรวจสอบได้ หากคุณต้องการที่จะอยู่ในระบบเพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงบริการของเราได้อย่างรวดเร็วหลังจากเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราแล้ว

  • สถิติ

    เพื่อการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง เราจึงมีการติดตามข้อมูลอย่างไม่ระบุตัวตนเพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล คุ้กกี้เหล่านี้ทำให้เราสามารถติดตามจำนวนการเข้าชมที่ส่งผลกระทบต่อหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้เราสามารถปรับปรุงเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ